เรา

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เกาะช้าง

เกาะช้าง เป็นเกาะที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ เกาะช้างมีพื้นที่กว่า 268,125 ไร่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทะเลอ่าวไทยและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากภูเก็ต เกาะช้างที่ผมพูดถึงคือ เกาะช้าง เกาะช้าง ตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จ.ตราด นะครับ ไม่ใช่ เกาะช้างที่อยู่ทะเลอันดามัน จ.ระนอง (ระวังจะสับสน)

เกาะช้าง ประกอบด้วย 8 หมู่บ้าน คือ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่เกาะช้างอีกด้วย ภายในเกาะจะเป็นสวนยางพารา และผลไม้ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุด ได้แก่เขาสลักเพชร มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดน้ำตก ลำธารหลายสาย ชายหาดสวย มีอยู่มากมาย ตามชายฝั่งตะวันตก ที่ดังๆ หน่อยก็ได้แก่ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้ ทั้งสามหาดมี รีสอร์ทตั้งอยู่เรียงรายริมหาดมากมาย ตั้งแต่ ราคา หลังละ 200 กว่า บาท ถึง 5,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ยังมีเกาะเล็กๆ รายล้อม อันได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายา เกาะง่าม เกาะไม้ชี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะกระ เการัง เกาะมันนอก เกาะมันใน เกาะกระดาด เกาะหมาก เกาะขาม ฯลฯ ส่วนใหญ่ช่วงเทศกาล เกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านี้มัก เสนอแต่แพคเก็จทัวร์ ปัจจุบันมีทัวร์รูปแบบต่างๆ มากมายนอกจากการเล่นน้ำทะเลเที่ยวเกาะ เช่น ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ขี่ช้างท่องไพร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือพักโฮมสเตย์กับหมู่บ้านชาวประมง

เกาะล้าน



เกาะล้าน อยู่ห่างชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ ดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ เช่น เรือลากร่มชูชีพ เรือสกี สกู๊ดเตอร์ โดยเฉพาะที่หาดตาแหวน หาดทองหลาง หาดนวล และหาดเทียน ส่วนหาดแสมบรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดอื่น บริเวณเกาะล้าน และเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เช่น เกาะครก และเกาะสากเป็นแหล่งตกปลาดำน้ำดูปะการัง ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ

เกาะเสม็ด

เกาะเสม็ด, เสม็ด หรือ เกาะแก้วพิสดาร ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อของระยอง ที่ได้รับ ความนิยมทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศ ตั้งอยู่ตำบลเพ อำเภอเมือง จ.ระยองอยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านเพประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 3,125 ไร่ มีลักษณะเป็นเกาะรูปสามเหลี่ยม (แผนที่เกาะเสม็ด) ส่วนฐานของเกาะอยู่ด้านทิศเหนือ ซึ่งหันเข้าสู่ฝั่งบ้านเพ มีภูเขาสลับซับซ้อนกันอยู่ 2-3 ลูก มีที่ราบอยู่ตามริมฝั่งชายหาด ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านเหนือและตะวันออก เหตุที่มีชื่อว่า “ เกาะเสม็ด” เพราะเกาะนี้มีต้นเสม็ดขาว และเสม็ดแดงขึ้นอยู่มาก ซึ่งในอดีตชาวบ้านนำมาใช้ทำไต้จุดไฟ บนเกาะเสม็ดไม่มีแม่น้ำลำคลอง ประมาณ 80% ของพื้นที่ เป็นภูเขาและป่าไม้เบญจพรรณ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน ช่วงเดือนพฤษภาคมมีมรสุมและคลื่นลมจัดมาก เดือนสิงหาคมมีฝนตกชุก.

เกาะเสม็ด ห่างจากฝั่งบ้านเพ ประมาณ 6 กม. ใช้เวลานั่งเรือไปยังเกาะเสม็ดประมาณ 30 นาทีถึง ท่าเรือหน้าด่าน บนเกาะเสม็ด จากนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางโดยรถสองแถว หรือ เช่ามอเตอร์ไซค์ ไปแต่หาด เช่นอ่าวน้อยหน่าอ่าวลูกโยนหาดทรายแก้วอ่าวไผ่ อ่าวทับทิม อ่าวช่อ อ่าวตะวันอ่าววงเดือนอ่าวเทียนอ่าวหวายอ่าวกิ่วอ่าวกะรังซึ่งอยู่ปลายสุด และที่พลาดไม่ได้กับอ่าวพร้าว เป็นเพียงอ่าวเดียวที่อยู่ตะวันตกของเกาะเสม็ด สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ที่ อ่าวพร้าวแห่งนี้.

การเดินทางไปเกาะเสม็ดนั้น ไม่ยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน นักท่องเที่ยวควรสำรองที่พักไว้ล่วงหน้า มิฉะนั้นคงเสียเวลากะเตงกระเป๋าไปหาห้องพักเหนื่อยแน่ แต่ละหาดอยู่ห่างไกลกันมากทีเดียว.

วิธีทําให้ผิวขาว 12 วิธี

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม

วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

เรื่อง สุขภาพ

น้ำผึ้งก็เป็นยาอายุวัฒนะ

น้ำผึ้ง ใคร ๆ ก็รู้จักแถมยังดีต่อ สุขภาพ น่ารับประทานอีกด้วย น้ำผึ้งมีสารอาหารสำคัญ ๆ ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในน้ำผึ้งก็คือ โปรตีน วิตามินบี1 บี2 บี 5 และ บี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โบรมีน และคลอรีน
น้ำผึ้ง มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุง สุขภาพ ร่างกาย ให้กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง สดชื่น เพิ่มพลัง แก้เบื่ออาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงข้อต่าง ๆ ช่วยให้นอนหลับสบาย
น้ำผึ้ง จัดเป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุดที่น่าสนใจ หมั่นรับประทานเป็นประจำทุก ๆ สัปดาห์ก็จะช่วย บำรุงร่างกาย ให้มี สุขภาพดี อย่างที่คุณพิสูจน์ได้ เมื่อมีแต่ข้อดี แถมยังอร่อย ว่าง ๆ ก็ลองหามารัปประทานกันดูนะ เพื่อ สุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรง

น้ำตกคอยนาง


น้ำตกคอยนางเป็นน้ำตกมีความสวยงาม และบริเวณน้ำตกมีลานหินกว้าง ซึ่งเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ และมีหน้าผาสูงประมาณ 20 เมตร อยู่บนเทือกเขาภูพานน้อย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนาม ภูฮ่อมซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อก๊าซที่สำคัญของอำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี

ทางขึ้นที่ บ้านท่ายม ตำบลแสงสว่าง อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี

ไปเที่ยวหัวหิน และ ชะอำ


เที่ยวชะอำ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน หัวหิน ปราณบุรี เขื่อนแก่งกระจาน
หาดชะอำ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เล่นน้ำทะเล ที่มีผู้คนเดินทางไปกันมาก โดยเฉพาะในระหว่างวันเสาร์
และอาทิตย์ การเดินทางไปชะอำและหัวหิน ในปัจจุบัน สะดวกมาก เพราะถนนดีตลอด ดังนั้น เราจึงได้มีโปรแกรม
ไปเที่ยวแบบสบายๆกันวันแรก เริ่มออกเดินทางโดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ แบบสบายๆประมาณ 8.30 ถึง 9 น. ส่วนมากที่ผมไป จะนิยมขึ้นทาง
ด่วนข้ามสะพานพระราม 9 แล้วมุ่งไปยังจังหวัดสมุทรสาคร และต่อไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม เดี๋ยวนี้ถนนดีมากเป็นแบบ
มอเตอร์เวย์ ขับได้สบาย ระหว่างทาง ก็แวะปั้มน้ำมันสักแห่ง เพื่อพัก หรือเข้าห้องน้ำ และดื่มกาแฟ ถ้าคนที่เป็นแฟนปั้ม Jet
(เดิม) ถ้าพบ ทางด้านซ้ายของถนน ก็รีบแวะได้ เพราะมิฉะนั้น อีกไกลมากจึงจะพบอีก เมื่อออกจากปั้มแล้ว ก็ขับรถต่อไปยัง
จังหวัดเพชรบุรี อาจจะแวะที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าขึ้นอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี หรือจะแวะเที่ยวขากลับก็ได้ จากตัว
จังหวัดเพชรบุรี ขับรถต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะถึงอำเภอชะอำ การเดินทาง ไม่ควรจะรีบนักแต่ควรกะเวลาให้ไปถึงชะอำ
ประมาณเที่ยง จะได้ไปชิมรสอาหารทะเล เพราะถ้าไปถึงเร็วเกินไปอาจจะไม่ได้อาหารทะเลสดที่สุด
เพราะมีเรือประมงหลายลำจะเข้าฝั่งพร้อมของสดๆใหม่ๆมาเสมอในเวลาประมาณเที่ยง ที่ชะอำมีร้านอาหารทะเลที่ขึ้นชื่ออยู่หลายแห่งส่วนมากอยู่ที่บริเวณสะพานปลา ผมไปมา 2-3 แห่งทั้งกลางวันและกลางคืน และก็ติดใจร้าน Lucky Seafood 2 ไปมาแล้วหลายครั้ง อาหารอร่อยและราคาปกติ ถ้านั่งริมน้ำ จะเห็นวิวของหมู่บ้านชาวประมงท่าเทียบเรือ สำหรับ


ขนสินค้า และมีเรือประมงจอดเรียงรายอยู่หลายลำ

ไปเที่ยว ภูทอก

จุดชมวิวทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวเชียงคาน มีลักษณะเป็นภูเขาสูง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บนยอดภูเป็นที่ตั้งของสถานีโทรคมนาคมเชียงคาน และเป็นจุดชมวิวทิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ของอำเภอเชียงคาน และลำน้ำโขงได้โดยรอบ ตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกันกับแก่งคุดคู้ซึ่งห่างจาก ตัวอำเภอ เชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร ใครที่ได้แวะมาเที่ยวเชียงคาน ไม่ควรพลาดการไปชมทะเลหมอกในยามเช้าที่นี่ นอกจากนี้ภูทอกจุดชมวิว ชมความงามของแม่น้ำโขง เมืองสานะคาม และแก่งคุดคู้ได้อย่างชัดเจน ส่วนทะเล หมอกนั้นจะเจอมากน้อยหรืออาจจะไม่เจอเลย ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวัน

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โบราณคดีบ้านเชียง

แหล่ง

[1] เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่ง อยู่ที่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี
ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและสร้างสังคม-วัฒนธรรมของมนุษย์ได้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน วัฒนธรรมบ้านเชียงได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่ง ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เององค์การยูเนสโกของสหประชาชาติจึงได้ยอมรับขึ้นบัญชีแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงไว้เป็นแห่งหนึ่งในบรรดามรดกโลก


ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา ของบ้านเชียงนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ได้แก่
ภาชนะดินเผาสมัยต้น อายุ 5,600-3,000 ปี มีลายเชือกทาบ ซึ่งคาดกันว่าเป็นปอกัญชา ทั้งยังมีลายขูดขีด และมีการเขียนสีบ่า โดยพบวางคู่กับโครงกระดูก บางใบใช้บรรจุศพเด็กด้วย
ภาชนะดินเผาสมัยกลาง อายุ 3,000 ปี-2,300 ปี สมัยนี้เป็นสมัยที่เริ่มมีการขีดทาสีแดงแล้ว
ภาชนะดินเผาสมัยปลาย อายุ 2,300 ปี-1,800 ปี เป็นยุคที่มีลวดลายที่สวยงามที่สุด ลวดลายพิสดาร สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่สงบสุข ก่อนที่จะกลายมาเป็นการเคลือบน้ำโคลนสีแดงขัดมัน

วัดโพธิ์ชัยศรี (วัดหลวงพ่อนาค) บ้านผือ อุดรธานี


มื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทางวัดได้จัดให้มีการสมโภชน์หอแก้ว อาคารกลางน้ำหลังใหม่ซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ มีพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเป็นประธานในพิธี ผมทราบข่าวแต่ไม่ได้ไปในวันสมโภชน์ การไปทำบุญในวันนี้ก็ได้ไปเก็บภาพในบรรยากาศคนไม่พลุกพล่านนัก ซึ่งน่าจะดีกว่าในวันสมโภชน์ที่มีคนเต็มไปหมด
ด้านข้างๆ ริมสระน้ำมีแพเล็กๆ ให้คนลงไปให้อาหารปลาที่อยู่ในสระได้ ที่ผมเห็นในวันนั้นน่าจะเป็นปลาดุกซะส่วนใหญ่ แต่เครื่องขายอาหารปลา (High Tech มาก หยอดเหรียญมีเสียงเพลงให้ฟังก่อนปล่อยอาหารเม็ดลงมาใส่ภาชนะรองรับ) กลับอยู่ทางด้านหน้าวัีดบริเวณใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อนาค ซึ่งถ้าไม่ได้ซื้อไปก่อน ต้องเดินกลับไปกลับมาไกลเหมือนกัน

ส่วนด้านล่างนี้เป็นประวัติหลวงพ่อนาค ซึ่งผมไปลอกมาอีกที
======================================================

วัดโพธิ์ชัยศรี ตั้งอยู่ที่บ้านแวง ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ห่างจากอำเภอบ้านผือไปตามถนนสายอำเภอน้ำโสมประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งวัด โพธิ์ชียศรี ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวอุดรธานีนามว่า "หลวงพ่อนาค" หลวงพ่อนาค เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกทำด้วยทองสำริดมีจารึกด้วยอักษรธรรมอีสานโบราณ ท่านผู้รู้ได้อ่านถ่ายถอดได้ความว่า
"สร้างเมื่อ จ.ศ.170 แห่งพุทธกาล ปีจอ เดือน 3 ขึ้น 13 ค่ำ ยามกลองแลงหัวครูวงษา เป็น ผู้สร้าง"
พระราชปรีชาญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดหนองคายได้อธิบายความว่า จ.ศ.170 น่าจะตรงกับพุทธศักราช 1351 และคำว่า ยามกลองแลง หมายถึงฤกษ์เททอง
หลวงพ่อนาควัดโพธิ์ชัยศรี มีพุทธลักษณะสวยงาม พระพักตร์เปี่ยมด้วยความเมตตา มีคำเล่าลือสืบกันมาแต่โบราณว่า ภายในองค์พระประดิษฐานพระธาตุอรหันต์ตรงส่วนพระอุระ ชาวบ้านแวงและชาวอุดร ต่างเลื่อมใสศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนาคว่า ได้ปกป้องคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข
ดูแผนที่่เส้นทางไปวัด คลิ๊กที่นี่

ภาย ในวัดมีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง มีรูน้ำไหลยู่ตลอดเวลา น้ำใสสะอาดสามารถดื่มกินได้ ความลึกประมาณ ๘๙ เมตร ถ้าถึงฤดูหนาว น้ำในบ่อจะอุ่นผิดปกติ นับตั้งแต่มีการตั้งหมู่บ้านเมื่อราว ๒๐๐ ปีก่อน บรรพบุรุษต่างยืนยันว่า ไม่มีผู้ใดลงมือขุดบ่อน้ำนี้ สันนิษฐานว่า คงมาพร้อมกับวัดโพธิ์ชัยศรี และหลวงพ่อนาค ในอดีตบ่อน้ำนี้เคยแห้งมาแล้ว ๔ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๗๒, ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๑, ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๓ และครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๒๐ เหตุที่น้ำในบ่อแห้ง เชื่อกันว่า มีสตรีนำผ้าถุง (ผ้าซิ่น) ไปวางไว้ขอบบ่อน้ำ

อาจารย์รักษ์ ทองสุวรรณ (บวชเป็นพระ พ.ศ. ๒๕๒๐) เคยเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนที่น้ำในบ่อจะแห้งหมด จะมีเสียงดังอยู่ใต้ก้นบ่อ พร้อมกับมีน้ำกระเซ็นขึ้นมาปากบ่อ จึงเดินเข้าไปส่องดูในบ่อ เห็นเป็นฟองเหมือนผงซักฟอกลอยอยู่บนน้ำ สักครู่หนึ่งก็จะหายไป

รุ่งเช้า น้ำในบ่อก็หมด น้ำในบ่อแห่งนี้ปกติจะไม่แห้ง ถ้ามีผู้ทำผิด น้ำจะแห้ง เมื่อน้ำในบ่อแห้งจะมีพิธีไปขอน้ำในลำห้วยกลางทุ่งนา ซึ่งชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนมารวมตัวกัน โดยผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจะกล่าวขอขมาลาโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ต่อจากนั้นทุกคนจะไปตักน้ำในลำห้วยมาคนละขัน เทลงไปในบ่อ วันรุ่งขึ้นจะมีน้ำมาอยู่ระดับเดิม

ภายในบ่อมีศิลาดาดที่ก้นบ่อ เป็นโพรงลึกเข้าไปประมาณ ๓ เมตร โดยรอบมีรูใหญ่ ๆ พอคนคลานเข้าไปได้ ๒ รู รูหนึ่งตรงไปหาพระประธานที่ศาลาการเปรียญ อีกรูหนึ่งตรงไปทางกุฏิเจ้าอาวาส ด้านทิศตะวันออกไปทางลำห้วยกลางทุ่งนา ประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ พอเห็นได้ว่า เวลาครุ (ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ ทาด้วยขี้ชันน้ำมัน) หรือ กระแป๋งตักน้ำตกลงไปในบ่อ ถ้าใช้ไม่หยั่งลงไปก้นบ่อค้นหาก็หาไม่พบ

ต่อมามีคนหาปลาที่ลำห้วยเจอกระแป๋งนี้ จึงสันนิษฐานว่า รูก้นบ่อต้องยาวไปถึงลำห้วยแน่ กระแป๋งของคนนั้นจึงมาอยู่ที่ลำห้วยได้ ลำห้วยนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “กุด” มีผีนาคเงือกเฝ้ารักษาเหล็กไหลอยู่ ชาวบ้านเรียกผีนาคเงือกว่า “ปู่หมอน” เคยทำให้เด็กที่เป็นลูกพ่อแม่เดียวกันครอบครัวเดียวกันจมน้ำตาย วันเดียวกัน ๓ คนมาแล้ว ศพไหลขึ้นไปทางเหนือน้ำ

ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ พระอาจารย์สว่าง อยู่กับวัดโพธิ์ชัยศรี ได้นิมิตว่า มีผู้มาบอกให้ไปเอาเหล็กไหลในล้ำห้วยนั้น ฝันคืนหนึ่งก็ยังไม่ไปเอา ฝันคืนที่สองก็ไม่ไปเอา ฝันคืนที่สามอีก

เมื่อพระอาจารย์สว่างฝันติดต่อกันหลายคืนเช่นนี้ คิดว่า เจ้าของเหล็กไหลคงจะให้จริง ๆ จึงได้กล่าวความฝันให้พ่อตาตุ๊ฟัง แล้วจึงชวนพ่อตาตุ๊ไปด้วย เมื่อตกลงไปกันแล้ว ก็เตรียมเครื่องมือไปทำพิธี พอทำพิธีขอเสร็จแล้ว พระอาจารย์สว่างจะเป็นผู้ลงไปเอา พ่อตาตุ๊จึงเอาสายสิญจน์ใหญ่ผูกเอาไว้ หากพระอาจารย์สว่างดำลงไปขึ้นไม่ได้ อาจติดอยู่ในโขดหินในถ้ำนั้น จะได้ช่วยดึงออกมาได้ไม่ให้สายสิญจน์ขาด แล้วพระอาจารย์สว่างก็ดำลงไปในล้ำห้วยนั้น แล้วก็มุดดำน้ำลงไปภายใต้แผ่นหินใหญ่ ซึ่งเป็นโพรงเข้าไป เมื่อดำลงไปอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก็ได้เอาใส่มือให้เลย พระอาจารย์สว่างก็ดำลงไปใหม่เป็นครั้งที่สอง เมื่อโผล่ขึ้นมาก็ได้เหล็กไหลขึ้นมา ๔ ก้อน ก้อนหนึ่งพระอาจารย์สว่างกลืนกิน ส่วนเหล็กไหลอีก ๓ ก้อน เอาใส่ห่อผ้าเช็ดหน้า แล้วพากันเดินกลับวัด ขณะเดินทางกลับมาวัดจวนจะถึงวัดอยู่แล้ว พระอาจารย์สว่างพูดขึ้นว่า “ถ้าเราเอาไปขายคงได้หลายเงิน”

พอพูดจบไม่รู้อะไร มาแย่งเอาเหล็กไหลไปจากมือ จนพระอาจารย์สว่างร้องไห้เสียงดัง พอลุกขึ้นได้ก็จะวิ่งไปที่ลำห้วยโน้นอีก พ่อตาตุ๊ได้คว้าข้อมือพระอาจารย์สว่างเอาไว้ แล้วก็นำตัวมาที่ศาลาวัดโพธิ์ชัยศรี

ขณะนั้น พระอาจารย์ตา จำวัดอยู่ในโบสถ์ ได้ยินเสียงร้องไห้ จึงเปิดประตูออกมาดู พอทราบเหตุถึงได้ทำน้ำมนต์รดให้ พระอาจารย์สว่างค่อยหายเป็นปกติ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า “ผีจะหลอกเอาไปกินตอด”

ส่วนเหล็กไหลที่พระอาจารย์สว่างกินเข้าไปนั้น ได้ทะลุออกกลางกระหม่อม (ศีรษะ) ในเวลาต่อมา

สำหรับพระนาคปรก หน้าตักกว้าง ๑๒ นิ้ว สูง ๑๒ นิ้ว สันนิษฐานว่า สร้างด้วยหินศิลานั้น เพื่ออำพรางองค์จริงที่เป็นทองสำริด

ก่อนที่จะสร้างพระนาคปรกขึ้นด้วยทองสำริด ต้องมีการจำลองแบบขึ้นก่อน โดยมีการแกะพระนาคปรกด้วยหินมาก่อน จากนั้นนำพระนาคปรกหินศิลาเป็นตัวอย่าง

ชาวบ้านแวงทุกคนนับถือพระนาคปรกมาก เพราะเคยถูกขโมยไปแล้วถึง ๔ ครั้ง แต่ในแต่ละครั้งก็ได้กลับคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้ มีพุทธลักษณะสวยงามน่าเลื่อมใส อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ หงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา มีพญานาคแผ่พังพานปกคลุมเบื้องบนพระเศียร โดยเฉพาะพระพักตร์มีความละเมียดละไมค่อนข้างจะยิ้มนิด ๆ ตามแบบพุทธลักษณะของพระปางนาคปรก ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านต่างพากันขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้กันว่า “หลวงพ่อนาค” ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยศรี

นายทูล คำน้อย ชาวบ้านแวง ตำบลบ้านผือ ชาวบ้านรู้จักกันในนามของคุณโยมพ่อตุ๊ ซึ่งเป็นผู้ทราบเรื่องราวความเป็นมาของหลวงพ่อนาคดีกว่าใคร เพราะได้รับทราบจากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่า ๆ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตว่า เดิมที่วัดโพธิ์ชัยศรีแห่งนี้ เป็นป่าดงพงชัฏ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาชนิด หนาทึบเต็มไปหมด ไม่มีใครทราบว่าเคยเป็นวัดมาก่อน

ครั้นราวปี พ.ศ. ๒๑๐๐ มีชาวบ้านจากเมืองพาน ที่อยู่ห่างจากบ้านแวงราว ๗ – ๘ กิโลเมตร ได้เดินทางมาล่าสัตว์ ตรงบริเวณเชิงเขาที่ตั้งพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ โดยมีนายสี กับ นายแสน เป็นหัวหน้า พอมาถึงสถานที่ตั้งวัดโพธิ์ชัยศรีแห่งนี้ สมัยนั้นยังเป็นป่าใหญ่มีต้นไม้หนาทึบ พวกพรานล่าสัตว์ได้พากันเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อดักยิงฝูงนก และสัตว์ป่าที่มีอยู่มากมาย เผอิญได้พบพระพุทธรูปใหญ่องค์หนึ่ง มีขนาดหน้าตักราว ๔ ศอก สูงราว ๖ ศอก สันนิษฐานกันว่าคงสร้างจากเกสรดอกไม้และว่านต่าง ๆ (ขณะนี้ประดิษฐานอยู่ที่ ศาลาการเปรียญวัดโพธิ์ชัยศรี) ทำให้พวกพรานล่าสัตว์ต่างสันนิษฐานว่า สถานที่แห่งนี้คงเคยเป็นวัดมาก่อน จึงเดินออกจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไปรอบ ๆ บริเวณ ก็ได้พบใบเสมาที่สกัดจากหินดาดทั้งแท่ง ที่ใกล้ ๆ ใบเสมายังมีพระพุทธรูปนาคปรกอีก ๒ องค์ มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑๒ นิ้ว สูง ๑๒ นิ้ว เท่ากันทั้งคู่

นายสี กับ นายแสน ผู้เป็นหัวหน้านายพราน ได้ปรึกษากับคณะว่า สถานที่แห่งนี้มีบ่อน้ำดื่มน้ำใช้อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นที่ราบสม่ำเสมอผิดกับหมู่บ้านที่อยู่เชิงเขา สมควรที่จะอพยพมาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ตามแถวนี้ ภายหลังจากตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้พาครอบครัวและชักชวนพรรคพวกมาอยู่ด้วย ชั่วระยะเวลาไม่นานก็กลายเป็นชุมชนย่อม ๆ ขนาด ๑๐๐ หลังคาเรือนเศษ

ครั้นราว พ.ศ. ๒๑๒๙ หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่มีวัดที่ใช้ประกอบพิธีประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหมดต่างปรึกษาหารือกันที่จะสร้างวัด โดยได้พากันไปตัดไม้มาถากเป็นเสาเลื่อยเป็นฝา ใช้หญ้าคามุงหลังคาพอกันแดดกันฝน ประกอบเป็นอุโบสถชั่วคราว

แต่ตอนแรกวัดโพธิ์ชัยศรีมีแต่พระพุทธรูปขนาดใหญ่ (หลวงพ่อองค์ตื้อ) และหลวงพ่อนาค เท่านั้น โดยไม่มีพระภิกษุและสามเณรมาจำพรรษา จึงมีสภาพไม่ต่างกับวัดร้าง ถึงกระนั้นในวันสำคัญทางศาสนา ชาวบ้านก็ยังศรัทธามากราบไหว้พระที่วัดแห่งนี้อยู่เสมอ เช่น ในวันสงกรานต์ของทุกปี จะนำน้ำอบมาสรงน้ำพระพุทธรูปเป็นสิริมงคล โดยมีหลวงพ่อองค์ตื้อเป็นองค์ประธาน ร่วมด้วยหลวงพ่อนาค เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวบ้าน

พอปี พ.ศ. ๒๑๓๔ ถึงมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาบ้าง โดยชาวบ้านได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิขึ้นหลังหนึ่ง เพื่อเป็นที่จำพรรษาของพระสงฆ์ แต่ในระยะนั้นชาวบ้านยังคงเข้าใจว่า หลวงพ่อนาคเป็นเพียงพระพุทธรูปธรรมดา ไม่ต่างจากพระปฏิมากร ที่สร้างขึ้นแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการบูชาเป็นพุทธานุสติเท่านั้น จึงไม่ได้เอาใจใส่ในการรักษาเท่าใดนัก

หลวงพ่อนาคถูกขโมยครั้งแรก

เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๕ องค์หลวงพ่อนาคได้หายไปจากวัดโพธิ์ชัยศรีเป็นครั้งแรก คราวนั้นพระสงฆ์ และชาวบ้านมิได้ติดใจเอาความ คงคิดว่าเป็นพระพุทธรูปธรรมดา หายแล้วหายเลย เพราะไม่รู้จะติดตามเอาคืนได้ที่ไหน จึงได้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปกับกาลเวลา

๔ ปีต่อมา ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๙ นายตุ้ย ผู้ปกครองอำเภอบ้านผือ (นายอำเภอ) ในสมัยนั้น ได้ถึงแก่กรรมลง นายอวน ศักดิ์ดี ผู้ใหญ่บ้านแวง ได้ไปช่วยงานศพของนายอำเภอ ระหว่างที่กำลังสาละวนอยู่กับงาน ต้องเดินขึ้นเดินลงที่บ้านนายอำเภอหลายเที่ยว สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็น พระนาคปรกสวยงามองค์หนึ่ง ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา จึงพยายามเดินเข้าไปชมใกล้ ๆ เพ่งพินิจสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนแน่ใจว่าพระนาคปรกองค์นี้เป็นหลวงพ่อนาคของวัดโพธิ์ชัยศรี หลังจากงานศพนายอำเภอตุ้ยผ่านพ้นไป นายอวนก็เรียกลูกบ้านมาประชุม โดยได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ตนได้พบเห็นหลวงพ่อนาคให้ชาวบ้านฟัง ในที่สุดทุกคนต่างพร้อมใจกันไปขอหลวงพ่อนาคกลับคืน เมื่อครอบครัวนายอำเภอตุ้ยทราบเรื่องราวต่าง ๆ ว่าหลวงพ่อนาคองค์นี้ ได้มีผู้ขโมยขายให้นายอำเภอ จึงยินยอมคืนหลวงพ่อนาคให้ชาวบ้านแวงโดยดี ผู้ใหญ่อวน และลูกบ้าน พากันดีใจ และอาราธนาหลวงพ่อนาคกลับไปประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัยศรีดังเดิม

หลวงพ่อนาคถูกขโมย ครั้งที่ ๒

ในราว พ.ศ. ๒๔๗๙ หลวงพ่อนาคได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ชาวบ้านพากันออกติดตามข่าวว่าใครเป็นผู้ขโมยเอาไป จนสืบทราบว่า มีคนร้าย ๒ คน ได้ลักเอาหลวงพ่อนาคไปทางบ้านเหล่าคาม อ.บ้านผือ แล้วจ้างเกวียนของ “นายเผือก” ชาวบ้านเหล่าคามเป็นเงิน ๒ บาท ช่วยบรรทุกหลวงพ่อนาคไปที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๕๓ กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางนานถึง ๓ วัน

พอถึงตัวจังหวัดอุดรธานีแล้ว คนร้ายทั้งคู่ได้ยกหลวงพ่อนาคลงจากเกวียนไว้ที่พื้นดินก่อน เพื่อจะเอาขึ้นรถยนต์นำไปขายที่กรุงเทพ ฯ ความจริงหลวงพ่อนาคมีน้ำหนักเพียง ๒๓ กิโลกรัมเท่านั้น แต่คราวนี้หลวงพ่อนาคได้สำแดงปาฏิหาริย์ บันดาลให้องค์ท่านมีน้ำหนักคล้ายกับ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม จนคนร้ายยกไม่ขึ้น แม้จะพยายามช่วยกันยกสักเท่าไหร่ องค์หลวงพ่อนาคก็ไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อน พวกคนร้ายได้เปลี่ยนวิธียก ด้วยการหาเชือกมาผูกองค์หลวงพ่อนาค แล้วเอาไม้สอดหามกัน แม้จะใช้คนสักเท่าไร ก็หามไม่ขึ้น ในที่สุดต่างก็หมดปัญญา

ขณะที่พวกคนร้ายกำลังนั่งพักเหนื่อย เพื่อคิดหาวิธีโยกย้ายหลวงพ่อนาค ไปขายที่กรุงเทพ ฯ ให้ได้บังเอิญมี เศรษฐีผัวเมียคู่หนึ่ง ปลูกบ้านอยู่แถว ๆ นั้น เดินมาพบเห็นเข้า ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นยิ่งนัก จึงได้สอบถามเรื่องราวความเป็นมา พวกคนร้ายบอกว่า กำลังจะนำไปขายที่กรุงเทพ ฯ เท่านั้น แต่มิได้บอกความจริงว่า ขโมยมาจากวัดโพธิ์ชัยศรี

ปกติสองผัวเมียเป็น คนใจบุญอยู่แล้ว ยิ่งเห็นองค์หลวงพ่อนาค ก็เกิดความเลื่อมใสยิ่งขึ้น พอทราบความประสงค์ว่าเขาจะเอาไปขายเท่านั้น จึงขอบูชาองค์หลวงพ่อนาค ไว้สักการะที่บ้านตน เป็นจำนวนเงิน ๑ ตำลึง (๔บาท) คนร้ายก็ตกลงขายให้ ดีกว่าเอาไปไม่ได้เลย พอคนร้ายรับเงินจากสองผัวเมียแล้ว ก็พากันหลบหนีไป สองตายายก็ได้อาราธนาหลวงพ่อนาค ไปประดิษฐานไว้ ณ ที่บูชาในบ้านของตน

นับ ตั้งแต่หลวงพ่อนาคไปอยู่ในบ้านสองตายายได้ราว ๑ เดือน เศรษฐีสองผัวเมีย และครอบครัว ต่างเป็นโรคนอนไม่หลับ พอหลายวันหลายคืนเข้า สองผัวเมียถึงได้ปรึกษาหารือกันว่า คงจะเป็นเพราะเราปฏิบัติต่อองค์หลวงพ่อนาคไม่ถูกวิธีหรืออย่างไร จึงนำความเรื่องนี้ไปปรึกษากับเจ้าอาวาสวัดโยธานิมิต ซึ่งปกติสองผัวเมียก็ไปทำบุญอยู่เป็นประจำ

เมื่อหลวงพ่อวัดโยธานิมิต ได้ทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ท่านจึงได้พูดกับสองผัวเมียว่า “พระนาคปรกที่คุณโยมนำมาบูชาที่บ้านนั้น ท่านคงไม่อยากอยู่ที่บ้านของคุณโยม คงอยากอยู่ที่วัดมากกว่า เลยทำให้คุณโยมและครอบครัวนอนไม่หลับ ถ้าไม่คิดอะไรมาก คุณโยมเอามาไว้ที่วัดกับอาตมาก็ได้ โดยคุณโยมบูชามาเท่าไร อาตมาจะจ่ายชดเชยให้ ดีกว่าเอาไว้บ้านแล้วไม่สบาย”

ฝ่ายเศรษฐีสอง ผัวเมีย คิดทบทวนอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจ เอาหลวงพ่อนาคไปไว้ที่วัดโยธานิมิต นับตั้งแต่นั้นมา ทุกคนในครอบครัวต่างนอนหลับอย่างสุขสบาย

ต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๙๔ นายดี ทองสุวรรณ ชาวบ้านแวงได้ถูกคัดเลือกเป็นทหารเกณพ์ ไปประจำอยู่ที่ค่ายหนองประจักษ์ อุดรธานี พอถึงวันสงกรานต์ ช่วงที่นายดี ทองสุวรรณ รับราชการเป็นทหารเกณฑ์อยู่นั้น เพื่อน ๆ ได้ชักชวนไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่วัดโยธานิมิต เพื่อสรงน้ำพระพุทธรูป และสรงน้ำพระภิกษุสงฆ์ ตามประเพณีภาคอีสาน ครั้นไปถึงวัดโยธานิมิต แล้วก็เดินเข้าไปสรงน้ำพระพุทธรูป และพระภิกษุสงฆ์ จึงได้พบเห็นหลวงพ่อนาค ก็คลับคล้ายคลับคลา ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อเดินเข้าไปพิจารณาตำหนิต่าง ๆ ใกล้ ๆ ก็แน่แก่ใจว่าเป็น “หลวงพ่อนาค” ที่อยู่วัดโพธิ์ชัยศรีจริง ๆ

พอหลังสงกรานต์ก็ได้ลากลับบ้าน เพื่อจะนำข่าวที่ตนได้พบหลวงพ่อนาค ไปเล่าให้ผู้ใหญ่บ้าน และเพื่อนบ้านฟัง เมื่อชาวบ้านแวงทราบข่าว ต่างพากันดีใจ และตกลงกันว่า จะให้ผู้ใหญ่บ้าน กับลูกบ้านอีก ๕ คน เป็นตัวแทนเดินทางไปจังหวัดอุดรธานี โดยมุ่งตรงไปที่วัดโยธานิมิตทันที

ครั้นไปถึงวัดโยธานิมิต ชาวบ้านแวงทั้งหมด พากันเข้าไปกราบนมัสการพระเดชพระคุณ เจ้าอาวาสวัดโยธานิมิต ซึ่งท่านเจ้าอาวาส เมื่อเห็นคนต่างถิ่นมาเยือน จึงได้ไต่ถามความประสงค์การมาครั้งนี้

“โยมบ้านอยู่ที่ไหน มาที่วัดมีความประสงค์สิ่งใดหรือ”

ผู้ใหญ่บ้านแวงกราบเรียนว่า “ข้ากระผมกับพวกมาตามหลวงพ่อนาค ที่หายไปหลายปีแล้ว”

พระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาส ได้ถามต่อไป “พระนาคปรกของพวกโยม มีพุทธลักษณะอย่างไร แล้วทำไม ถึงคิดว่า พระนาคปรกมาอยู่ที่นี่”

“องค์พระประทับนั่งอยู่บนลำตัวนาคขดเป็น ๓ ชั้น ตรงหัวนาคด้านบนหักนิดหนึ่ง มีคนมาพบว่า อยู่ที่นี่” ผู้ใหญ่บ้านตอบ

เมื่อ เจ้าอาวาสได้ฟังแล้ว ก็แน่ใจว่า พระนาคปรกองค์นี้เป็นของชาวบ้านแวงจริง เพราะทุกสิ่งที่เล่ามา ตรงกับความจริงทั้งสิ้น จึงได้พูดต่อไปว่า

“พระนาคปรกองค์นี้ อาตมาได้ซื้อไว้เป็นเงิน ๑ ตำลึง (๔ บาท) ถ้าโยมอยากได้ จงเอาเงิน ๑ ตำลึง มาไถ่คืนเสียก่อน”

ผู้ใหญ่ บ้านได้ฟังเช่นนั้น จึงกราบนมัสการว่า “พระนาคปรกองค์นี้ เป็นสมบัติของวัดโพธิ์ชัยศรี กระผมและพวกได้ติดตาม จนหมดเงินหมดทองไปมากมาย เหลือเงินติดตัวอยู่ไม่เท่าไหร่ จะมีก็แค่เงินค่าอาหาร และค่าเดินทางเท่านั้น เมื่อหลวงพ่อไม่ยอมคืนพระนาคปรกให้ พวกกระผมก็จำเป็นต้องไปพึ่งพาเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแจ้งข้อหาว่า หลวงพ่อรับซื้อของโจรไว้ ถ้าถึงตอนนั้น คิดว่า หลวงพ่อคงต้องลำบากแน่ ๆ”

ฝ่าย เจ้าอาวาส โดนไม้ตายของผู้ใหญ่บ้านเช่นนี้ จำเป็นต้องคืนพระนาคปรกให้แต่โดยดี มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งไม่เหมาะสมกับสมณเพศ

เมื่อชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้าน ได้รับพระนาคปรกคืนก็ดีใจ พากันกราบขออภัยที่ล่วงเกินพระเดชพระคุณท่าน และขอบคุณที่ยอมคืนพระนาคปรกให้ ต่อจากนั้น ได้อาราธนาพระนาคปรกกลับคืนสู่วัดโพธิ์ชัยศรีดังเดิม

หลังจากหลวงพ่อ นาคปรก กลับคืนมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยศรีไม่กี่วัน ได้สำแดงปาฏิหาริย์บันดาลให้ นายเผือก เจ้าของเกวียนที่รับจ้างพวกคนร้าย บรรทุกหลวงพ่อนาคไปจังหวัดอุดรธานี เกิดตาบอดอย่างไม่มีสาเหตุ ครอบครัวก็ได้รับความเดือดร้อนในเวลาต่อมา

เมื่อนายเผือกตาบอดอย่าง กะทันหัน โดยหาสมมติโรคไม่ได้ จึงได้ระลึกเหตุการณ์ที่ตนไปรับจ้างบรรทุกหลวงพ่อนาคปรก แม้ตนจะไม่ทราบมาก่อน แต่ก็มีส่วนร่วมด้วย ที่ตนต้องตาบอดลงเช่นนี้ คงเป็นเพราะกรรมที่ไปพัวพันด้วยแน่ ท่านจึงลงโทษสถานเบาไม่ถึงแก่ชีวิต พอคิดได้เช่นนั้น นายเผือกได้บอกพวกญาติพี่น้องให้พาตนไปที่วัดโพธิ์ชัยศรี เพื่อไปกราบคารวะขอขมาลาโทษกับหลวงพ่อนาค ที่ตนได้ล่วงเกิน

ครั้นไป ถึงวัดโพธิ์ชัยศรี ที่ประดิษฐานหลวงพ่อนาคปรก ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตนราว ๖ – ๗ กิโลเมตร ก็นำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปสารภาพผิดทุกอย่าง แล้วกราบขอขมาลาโทษที่ตนได้กระทำกรรมไว้กับหลวงพ่อ (นาค) ก่อนที่จะลากลับไปบ้าน ได้เอาแผ่นทองคำเปลวที่ปิดพระเนตรหลวงพ่อนาค มาปิดที่นัยน์ตาของตน รุ่งขึ้นอีกวัน นัยน์ตาของนายเผือก ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม สามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ตามปกติ นับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่ง

หลวงพ่อนาคถูกขโมย ครั้งที่ ๓

ใน ราว พ.ศ. ๒๕๑๒ หลวงพ่อนาคได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านแวงได้ช่วยกันสืบจนได้ความว่า มีคนร้ายกลุ่มหนึ่งมาขโมยเอาองค์หลวงพ่อนาคไป โดยนำรถยนต์มาจอดไว้นอกวัด แล้วลอบเข้าไปอุ้มองค์หลวงพ่อนาคขึ้นใส่รถยนต์ จากนั้นขับมุ่งไปทางจังหวัดอุดรธานี เพื่อนำไปขายให้พวกฝรั่งที่สนามบินอุดรธานี ในราคา ๕๐๐,๐๐๐ บาท จุดหมายปลายทางคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา

พอถึงวันนัดหมาย คนร้ายได้นำหลวงพ่อนาค บรรจุลงกล่องกระดาษแข็ง ปิดผนึกอย่างดี พอได้เวลาก็ส่งกล่องบรรจุหลวงพ่อนาคขึ้นเครื่องบิน เพื่อจะนำส่งไปประเทศสหรัฐอเมริกา ทันทีที่กล่องบรรจุหลวงพ่อนาคขึ้นเครื่อง นักบินฝรั่งก็ติดเครื่องเตรียมจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงเครื่องบินแทนที่จะกระหึ่ม แสดงถึงความพร้อมที่จะทะยานสู่ท้องฟ้า แต่ทว่าสิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นในบัดดล ล้อเครื่องบินแทนที่จะแล่นไปตามลานบิน กลับสงบนิ่งอยู่กับที่ แม้จะพยายามบังคับเครื่องสักเท่าไหร่ ล้อก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน พวกช่างเครื่องมาสำรวจตรวจเช็คอย่างละเอียดแล้ว สั่งให้ลองบินดูอีกครั้ง ปรากฏว่าทุกอย่างคงมีสภาพเดิม จนฝรั่งหมดปัญญา ยอมยกกล่องบรรจุหลวงพ่อนาคคืนกลุ่มมิจฉาชีพ พอยกกล่องหลวงพ่อนาคลงจากเครื่องบินเท่านั้น เครื่องบินก็บินได้ตามปกติ โดยไม่มีอะไรขัดข้องเลย สร้างความประหลาดใจแก่พวกฝรั่งและคนร้ายอย่างยิ่ง

เมื่อ ฝรั่งเอาไปไม่ได้ คนร้ายก็นำกลับไปที่บ้านหลังหนึ่ง เตรียมที่จะตัดเศียรไปเท่านั้น พอเครื่องตัดเหล็กจ่อถูกองค์หลวงพ่อนาคครั้งใด ไฟฟ้าเป็นต้องดับหมดบ้านทุกที แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อคนร้ายโดนอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อนาคเล่นงาน ไม่รู้จะกระทำวิธีอื่นใดอีก เอาไปก็ไม่ได้ ตัดเศียรก็ไม่สำเร็จ วิธีที่ดีกว่านี้ ควรนำฝังดินไว้ก่อน ดีกว่ามีชาวบ้านมาพบเห็นเข้า จะพากันเดือดร้อน พอคิดได้ดังนั้นก็ช่วยกันยก ปรากฏว่ายกไม่ขึ้นอีก แม้จะพยายามสักกี่หนก็ไม่สำเร็จอีก หลวงพ่อนาคได้เล่นงานคนร้ายจนหมดปัญญา ทุกคนได้ช่วยกันคิดหาหนทางจัดการกับหลวงพ่อนาคอย่างไรดี จนกระทั่งคนร้ายออกความเห็นว่า “ควรนำหลวงพ่อนาคไปฝากที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี” คนร้ายที่เหลือต่างเห็นด้วย จึงนำเอาองค์หลวงพ่อนาคบรรจุใส่กล่องจนมิดชิด แล้วนำไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ โดยบอกว่า ขอฝากกล่องนี้สักประเดี๋ยว ไปธุระที่ตลาดแล้วจะกลับมาเอา

เมื่อคน ร้ายฝากกล่องหลวงพ่อนาคไว้แล้ว ก็พากันหลบหนีไปหมด ปล่อยให้เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ เฝ้าคอยการกลับมาอยู่จนมืด ก็ไม่เห็นเจ้าของกลับมาเอาคืน จนเวลาผ่านไป ๓ วัน ก็ยังไม่มีใครมารับเอาคืนไป เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ เลยตัดสินใจเปิดกล่องออกมาดู ปรากฏว่าข้างในมีพระพุทธรูปนาคปรกบรรจุอยู่ แต่ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ หรือเป็นพระของวัดใด จึงได้ประกาศออกทางวิทยุ พร้อมกับบอกพุทธลักษณะให้ทราบ ถ้าใครเป็นเจ้าของ หรืออยู่ที่วัดใด ให้นำหลักฐานมายืนยัน ก่อนจะเอากลับคืนไป

ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ ตำรวจภูธรอำเภอบ้านผือ ได้ฟังข่าวประกาศเรื่องหลวงพ่อนาคปรก อยู่ที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี ฟังลักษณะตามประกาศแล้ว ก็ว่าเป็นหลวงพ่อนาค วัดโพธิ์ชัยศรีแน่ ๆ เพราะตอนที่หายไปนั้น ชาวบ้านได้มาแจ้งความไว้แล้ว สารวัตรสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านผือ ได้สั่งให้สิบเวรนายหนึ่ง ไปแจ้งให้นายบัว แวงคำ ผู้ใหญ่บ้านแวงทราบ

นายบัว แวงคำ ก็พาชาวบ้านไปรับหลวงพ่อนาคที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี พร้อมกับสอบถามว่าใครเอากล่องนี้มาฝาก เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ ตอบว่า มีชายฉกรรจ์ ๓ คน หามกล่องนี้มาฝากไว้ เพียงบอกแต่ว่าไปตลาดเดี๋ยวเดียวจะกลับมารับ ต่อจากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย จนกระทั่งเปิดกล่องถึงทราบว่า เป็นพระพุทธรูป จึงได้ประกาศหาเจ้าของให้มารับพระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้คืนไป

เมื่อ เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี ได้สอบถามพุทธลักษณะ และตำหนิต่าง ๆ ของหลวงพ่อนาคปรก ปรากฏว่า ชาวบ้านแวงตอบถูกหมดทุกอย่าง จึงได้มอบหลวงพ่อนาคให้กลับคืนไป ชาวคณะบ้านแวง ได้กล่าวขอบพระคุณทางเจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี แล้วก็อาราธนาหลวงพ่อนาคกลับคืนไปยังหมู่บ้านตน

เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นายพันทหารท่านหนึ่ง ประจำอยู่ในค่ายทหารอุดรธานี ได้ทำปืนของทางราชการหายไปประมาณ ๕๐ กระบอก โดยไม่ทราบว่าผู้ใดได้มาขโมยไป นายพันทหารผู้บังคับบัญชา พยายามสอบสวนทุกคนก็ไม่ได้ความคืบหน้า ก็เลยหันมาพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดู ในเวลานั้น เกิดคิดถึงหลวงพ่อนาค ที่วัดโพธิ์ชัยศรี ที่ตนเคยทราบกิตติศัพท์ถึงความศักดิ์สิทธิ์มาก่อนแล้ว จึงได้เดินทางไปที่วัดโพธิ์ชัยศรี เมื่อไปถึงก็ติดต่อสอบถามคุณโยมพ่อตุ๊ (ผู้ดูแลรักษาหลวงพ่อนาค) ถึงวิธีเสี่ยงทายของหาย ว่าปืนที่หายไปจะได้คืนหรือเปล่า ? ในพิธีเสี่ยงทาย หลวงพ่อนาค บอกว่า ได้คืน ผู้พันทหารถามคุณโยมพ่อตุ๊ว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้คืน”

โยมพ่อตุ๊ก็บอกว่า “ผู้พันต้องรับสัจจะปฏิญาณกับหลวงพ่อนาคก่อนว่า จะไม่ลงโทษเขา ผมก็จะบอกให้ ถ้าต้องการไปลงโทษ ผมก็จะไม่บอก”

ผู้ พันก็รับปากว่า “ขอให้ได้ปืนคืนเท่านั้นก็พอ ผมจะไม่ลงโทษเขาหรอก” กล่าวจบ คุณโยมพ่อตุ๊ก็เสี่ยงทายกับหลวงพ่อนาค ดูปืนที่หายไปนั้น กองร้อยใดเอาไป โดยเริ่มเสี่ยงทายตั้งแต่กองร้อยที่ ๑ ไปตามลำดับ ปรากฏว่า กองร้อยที่ ๓ เอาไป แล้วก็เริ่มเสี่ยงทายต่อไป ถามถึงชื่อผู้ที่เอาไป โดยนำเอาชื่อผู้ใต้บังคับบัญชาในกองร้อยที่ ๓ ทั้งหมด มาเสี่ยงทายเรียงตามลำดับ จนถึงตัวผู้เอาปืนไป เมื่อรู้ตัวผู้ขโมยพอเป็นที่สังเขป ก็ทำน้ำมนต์ไปให้ทหารในกองร้อยดื่มเรียงตัว ต่อมาทหารผู้ที่เอาปืนไปซ่อนไว้ ก็มาสารภาพว่า “ปืนนั้นผมเอาไปเก็บไว้เอง”

พอผู้พันทหารทราบตัวหัว ขโมยก็โกรธ ลืมคำปฏิญาณที่รบไว้กับหลวงพ่อนาค สั่งนำตัวไปจำขังเป็นการลงโทษ ต่อมาผู้พันได้ไปราชการทหารที่จังหวัดเลย บังเอิญถูกงูกัดขา รักษาเท่าไรก็ไม่หาย นับวันแผลมีแต่จะเปื่อย ทำให้นึกถึงคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับหลวงพ่อนาค จึงได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา แล้วขอน้ำมนต์หลวงพ่อนาคไปประพรม หลังจากนั้นไม่นาน แผลที่ขาก็หายเป็นปกติ

หลวงพ่อนาคถูกขโมย ครั้งที่ ๔

เมื่อ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐ เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. ได้มีคนร้ายประมาณ ๘ คน ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ เข้าไปในบริเวณบ้านแวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยจอดรถยนต์ไว้ที่บริเวณบ้านแวง แล้วตรงไปยังวัดโพธิ์ศรี อันเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อนาค และคนร้ายชุดดังกล่าว ได้ตัดกุญแจที่ใส่คล้องประตูโบสถ์ ๕ ดอก แล้วเข้าไปงัดประตูเหล็กชั้นใน อันเป็นชั้นที่ ๒ จนพัง แล้วขโมยเอาหลวงพ่อนาคไปจากฐานที่ตั้ง

รุ่ง เช้าวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐ พระเณรในวัดโพธิ์ชัยศรี ตื่นขึ้นมาเข้าโบสถ์ เพื่อจะทำวัตรตามปกติ ก็พบว่า หลวงพ่อนาคได้ถูกคนร้ายลักไปแล้ว จึงได้ให้นายบุญมา พรหมเมศ อายุ ๔๓ ปี ราษฎรบ้านแวง นำความเข้าแจ้งต่อ พ.ต.ท.มนัส เที่ยงธรรม สวญ.สภ.อ.บ้านผือ ว่า เมื่อคืนนี้ เวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. มีคนร้าย ๔ คน ใช้รถปิ๊กอัพ นิสสัน สีแดง ไม่มีป้ายทะเบียน ลอบเข้าไปในโบสถ์วัดโพธิ์ชัยศรี หมู่ ๑๐ บ้านแวง อ.บ้านผือ ขโมยเอาหลวงพ่อนาค พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอบ้านผือไป ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านมั่นใจว่า คนร้ายยังไม่ได้นำ “หลวงพ่อนาค” ออกนอกเขตอำเภอบ้านผือ จึงนำความมาแจ้งให้ตำรวจรีบติดตามเอาคืนมาให้ได้

หลัง จากรับแจ้งว่า “หลวงพ่อนาค” ถูกขโมยไปได้ไม่นาน พ.ต.ท.มนัส สวญ.สภ.อ.บ้านผือ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านกาลืม ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ อีกว่า ในคืนเดียวกัน พระอธิการคำห่วง เจ้าคณะตำบล ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทบัวบก ต.เมืองพาน ซึ่งอยู่ห่างจากวัดโพธิ์ชัยศรี ได้รับแจ้งจากพระสงฆ์ และชาวบ้านกาลืมว่า มีคนร้ายแต่งกายชุดเขียวคล้ายทหาร เข้าไปงัดศาลาการเปรียญ อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ของวัดบ้านกาลืม แล้วขโมยพระพุทธรูปทั้งหมด ประมาณ ๒๕ องค์ด้วยกัน

หลังจากที่หลวงพ่อ นาคได้ถูกขโมยไปแล้ว ทั้งทางราชการ และประชาชนทั่วไป ที่เลื่อมใสศรัทธา ต่างก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้ข่าว และแหล่งที่ซุกซ่อนของหลวงพ่อนาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางราชการอำเภอบ้านผือ ซึ่งมีนายบรรดาศักดิ์ บุญบันดล นายอำเภอบ้านผือ พ.ต.ท.มนัส เที่ยงธรรม สวญ.สภ.อ.บ้านผือ พร้อมด้วยทีมงาน ประกอบด้วย ร.ต.ท.วิเชียร ประภาการ ร.ต.ท.วิสัย พิทักษ์สฤษดิ์ ร.ต.อ.วินันท์ เสียงครวญ และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนาย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการติดตามข่าวคราว และหาแหล่งที่ซุกซ่อนองค์หลวงพ่อนาค

นอกจากนั้น ทางจังหวัดหนองคาย ได้มีท่านพระครูสังฆวิฑิต วัดทุ่งสว่าง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญยิ่ง ได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังความคิด ตลอดจนกำลังทรัพย์ในการติดตามข่าวคราว ความเคลื่อนไหวของคนร้าย โดยขอความร่วมมือจาก ร.ต.อ.วินันท์ เสียงครวญ รอง สวป.สภ.อ.เมืองหนองคาย ได้สืบหาตัวคนร้าย และสืบหาแหล่งที่ซุกซ่อนองค์หลวงพ่อนาค อันเป็นการให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของอำเภอบ้านผืออีกทางหนึ่ง แต่การดำเนินงาน ก็เป็นไปอย่างไม่เปิดเผย เพราะเกรงคนร้ายจะไหวตัว ในที่สุด วันแห่งความปลาบปลื้มปีติยินดีของทางราชการ และประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อนาคก็มาถึง

คือ ในวันที ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ร.ต.อ.วินันท์ เสียงครวญ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมืองหนองคาย จำนวนหนึ่ง ได้ทำการจับกุมคนร้ายกลุ่มดังกล่าวได้ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย ซึ่งคนร้ายได้มาติดต่อขายพระพุทธรูปหลวงพ่อนาค และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ของวัดบ้านกาลืม จึงนำตัวคนร้ายทั้งหมดไปทำการสอบสวนที่ สภ.อ.เมืองหนองคาย แล้วรายงาน พ.ต.อ. ดร.ช่วงชัย สัจจะพงษ์ ผกก.ภ.จ.หนองคายทราบ แล้วรายงานให้ พ.ต.อ.บำรุง สุขพานิช ผกก.ภ.จ.อุดรธานี ทราบตามลำดับ เมื่อคนร้ายได้ให้การรับสารภาพแล้ว จึงนำตัวคนร้ายไปยังบริเวณที่ฝังองค์หลวงพ่อนาค และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ของวัดบ้านกาลืม เมื่อขุดเอาพระพุทธรูปทั้งหมดขึ้นจากดินแล้ว ก็ส่งตัวคนร้ายมอบให้เจ้าหน้าที่เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินคดีต่อไป

เมื่อ ราษฎรบ้านแวง ได้อาราธนาหลวงพ่อนาคกลับมาที่วัดโพธิ์ชัยศรี นายจรวย ยิ่งสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้ทราบเรื่องการติดตามหลวงพ่อนาค และพระพุทธรูปของวัดบ้านกาลืม และสามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งแก๊ง จึงได้ไปตรวจหลวงพ่อนาค พร้อมกับพระพุทธรูปวัดบ้านกาลืม พร้อมทั้งกล่าวชมเชยในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ติดตามพระพุทธรูปคืนมาได้ โดยใช้เวลาเพียง ๑๕ วัน ด้วยเหตุนี้ ทางอำเภอบ้านผือ ทั้งทางราชการและประชาชน ได้จัดงานฉลองสมโภชอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ชาวบ้านร้านตลาดทั้งหลาย ได้อาราธนาหลวงพ่อนาคแห่ไปรอบอำเภอบ้านผือ เพื่อเป็นสิริมงคลต่อไป

หลัง จากแห่รอบเมืองแล้ว ชาวบ้านแวงก็ปรึกษากันว่า คงจะทำพิธีบายศรี (ทำขวัญ) ถวายแด่องค์หลวงพ่อนาค เพราะเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ทันใดนั้นเอง หลวงพ่อนาคได้นิมิตเข้าสิงคุณโยมพ่อตุ๊ (นายทูล คำน้อย) ซึ่งไม่เคยเป็นคนทรงมาก่อน แต่เป็นผู้ที่ปรนนิบัติดูแลองค์หลวงพ่อนาคในวัด โดยนายทูลทำน้ำมนต์ และทำด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือสวมคอ เพื่อป้องกันศัตรู และเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มากราบไหว้ในเวลานั้น

หลวงพ่อนาค ได้ถูกขโมยไปถึง ๔ ครั้งแล้ว แต่ด้วยพุทธานุภาพแห่งองค์หลวงพ่อนาค ก็สำแดงปาฏิหาริย์แก่ผู้เคารพเลื่อมใสศรัทธาได้ประจักษ์ ทุกครั้งที่ถูกขโมยไป ก็จะได้กลับคืนมา เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนสืบไป





เพลง

ป่าคำชะโนด

คำชะโนด ตั้งอยู่ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงให้ความเคารพ
นับถือมีผู้กล่าวว่าสถานที่แห่งนี้เป็นปากเมืองบาดาลที่มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคตามความเชื่อของชาวอีสานและ
ชาวลาวเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมามีข่าวครึกโครมว่ามีผีจ้างหนังของบริษัทแจ่มจันทร์ภาพยนต์ไปฉายที่บริเวณ
ดังกล่าวมีต้นคำชะโนดขึ้นปกคลุมหนาแน่นในพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ต้นชะโนดมีลักษณะคล้ายต้นตาลและต้น
มะพร้าว บรรยากาศภายในเยือกเย็นมากมีศาลเจ้า และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ได้กราบไหว้
การเดินทาง ระยะทางประมาณ 93 กม. จากจังหวัดอุดรธานี ตามเส้นทางอุดรธานี – สกลนคร เลี้ยวซ้าย
ที่บ้านหนองเม็ก ถึงอำเภอบ้านดุง 84 กม. และต่อไปอีก 9 กม. ถึงคำชะโนด


ที่เที่ยวภูฝอยลม

เป็นแหล่งท่องเทียวเชิงนิเวศ อยู่ในเขตป่าวสงวนแห่งชาติพันดอน - ปะโคมีเนื้อที่ 192,350 ไร่ บนเทือกเขาภูพานน้อย
เขตตำบลทับกุง ภูฝอยลมจัดเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสานมีแปลงกลูกสาธิต และสวนรวมพรรณ
ไม้ป่า 60 พรรษามหาราชินี บริเวณจุดชมวิวสามารถมองเห็นทิวทัศน์ เมืองอุดรธานี มีบ้านพักไว้บริการ นักท่องเที่ยว
สามารถตั้งแคมป์พักแรมได้ สอบถามลายละเอียด โทร .04224 6715,0 4291 0935-6

การเดินทาง ใช้เส้นทางอุดรธานี - เลย เลี้ยวเข้าแยกบ้านเหล่า กิโลเมตรที่ 9


ปรัชญาแห่งความรัก

ความรู้สึกของคนนี่ช่างแปลก....ลองได้ *รัก*หรือคิดว่ารักแล้ว
แม้เพียงความใกล้ชิดเพียงผิวเผินก็เป็นสุข..การได้แสดงความเห็นใจก็เป็นสุข
ได้ช่วยเหลือ ได้เสียสละเพื่อคนที่รักก็เป็นสุข *ความรัก*ทำให้บุคคลมีได้
ทั้งความเห็นแก่ตัวและไม่เห็นแก่ตัวในเวลาเดียวกัน..........

ที่เที่ยว พระธาตุโพนทอง

พระธาตุโพนทอง

เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์สมัยอาณาจักรขอมเรืองอำนาจ มีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยม ฐานกว้าง 8 เมตร
ความสูงจากฐานถึงยอดสูง 10 เมตร ตั้งอยู่ตำบลหนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี เดิมเป็นที่บรรจุอัฐิ
พระอรหันต์ พร้อมมีการบรรจุพระพุทธรูปทองคำไว้ข้างใน ปัจจุบันพระธาตุโพนทองได้ทำการบูรณะ
ซ่อมแซมใหม่ โดยเทศบาลตำบลหนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ

ดอกบัวแดง

หนาวที่ผ่านมา หนองหาน - สถานที่ทางธรรมชาติอันแสนสงบแห่งหนึ่ง นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในดวงใจ นอกจากความรู้สึกว่าได้พักใจ หลีกลี้จากความวุ่นวาย "ทะเลบัวแดง"--ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ดารดาษด้วยดอกบัวแดง ยังทำให้ความรู้สึกเป็นสุขนั้นประทับอยู่ในใจ...
หนองหาน เป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ จ. อุดรธานี มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลกว่า 2 หมื่นไร่ หรือราว 300 เท่าของสนามหลวง กินพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัด คือ อ. กุมภวาปี อ. หนองหาน อ. ประจักษ์ศิลปาคม และ อ. กู่แก้ว รอบหนองหานมีหมู่บ้านรายล้อมกว่า 60 หมู่บ้าน หนองหานจึงเป็นที่หาอยู่หากินของชาวบ้าน และที่สำคัญคือเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำปาว ลำน้ำสำคัญที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนใน จ. อุดรธานี และไกลไปถึงคนปลายน้ำที่ อ. กมลาไสย จ. กาฬสินธุ์

หนองหาน ยังเกี่ยวโยงกับตำนานพื้นบ้าน ผาแดง-นางไอ่ ที่คนอุดรธานีรวมทั้งคนอีสานรู้จักกันเป็นอย่างดี

คนอุดรโดยเฉพาะคนรอบหนองหานคุ้นเคยกับตำนาน ผาแดง-นางไอ่ รวมไปถึงพญานาค อันเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เกิดหนองหาน เรื่องมีอยู่ว่า นางไอ่ ธิดาของเจ้าเมืองขอม เป็นผู้มีสิริโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของเจ้าชายเมืองต่างๆ ครั้งหนึ่งบ้านเมืองเกิดความแห้งแล้ง เจ้าเมืองขอมจึงจัดให้มีการแข่งขันจุดบั้งไฟเพื่อขอฝนจากพญาแถนผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าฝน หากบั้งไฟของใครขึ้นสูงที่สุด พระองค์จะยกธิดาให้ ในการแข่งขันนั้นมีเจ้าชายมาร่วมหลายเมือง รวมถึงท้าวภังคี โอรสของท้าวนาคราชในนครบาดาล ที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์

ในที่สุดผู้ชนะก็คือท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง ท้าวภังคีโอรสของท้าวนาคราชไม่พอใจผลการแข่งขัน จึงปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกเข้ามาในสวนดอกไม้ของนางไอ่ นางไอ่ซึ่งเกิดนึกอยากกินเนื้อกระรอกเผือกก็สั่งให้นายพรานไปยิงกระรอกเผือกตัวนั้นมา ท้าวภังคีหรือกระรอกนั้นไม่พ้นเงื้อมมือนายพราน ก่อนตายท้าวภังคีได้อธิษฐานว่า ใครที่กินเนื้อของตนขอให้จมน้ำตายในบาดาล เมื่อนางไอ่นำเนื้อกระรอกเผือกมาปรุงอาหารและแจกจ่ายไปทั่วเมือง ในคืนนั้นก็เกิดพายุฝน แผ่นดินไหว น้ำท่วมพัดพาผู้คนลงสู่ท้องบาดาล

ฝ่ายท้าวนาคราชซึ่งพิโรธที่โอรสถูกฆ่าตาย จึงพานาคจากเมืองบาดาลมาอาละวาดถล่มเมืองขอมจนพินาศสิ้น ท้าวผาแดงเห็นดังนั้นก็พานางไอ่ควบม้าหนีไปได้ทางทิศเหนือ ส่วนวิญญาณของท้าวภังคีก็วนเวียนมาทวงความแค้นกับท้าวผาแดงและนางไอ่ตลอดทุกชาติ บริเวณเมืองขอมที่พวกนาคถล่มจนจมลงสู่บาดาลได้กลายเป็นหนองหาน เพื่อเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณชาวเมืองขอมผู้ประสบเคราะห์กรรมในครั้งนั้น ประชาชนรอบหนองหานจึงสร้างเจดีย์ วัด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น คือพระธาตุต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใน อ. กุมภวาปี อันได้แก่ พระธาตุดอนแก้ว พระมหาธาตุเจดีย์ และศาลท้าวผาแดง ใน ต. กุมภวาปี พระธาตุดอยหลวง ต. พันดอน พระธาตุบ้านเดียม ต. เชียงแหว และพระธาตุจอมศรี ต. แชแล





หนองหานเป็นแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำ นก ปลา นานาชนิด ช่วงฤดูหนาวหนองหานจะงามตระการด้วยดอกบัวแดงนับล้านที่พากันชูช่อให้เราได้ชื่นชมความงาม มองดูราวกับผืนพรมสีชมพูปูลาดบนผิวน้ำกว้างไกลสุดสายตา บัวมี 2 ประเภท คือ "อุบลชาติ" หรือบัวสาย และ "ปทุมชาติ" หรือบัวหลวง ในแต่ละประเภทยังแบ่งแยกย่อยได้อีกหลายชนิด บัวแดงที่เห็นอยู่ในหนองหานเป็นหนึ่งในประเภทอุบลชาติ เรียกกันว่าบัวสัตตบรรณ หรือรัตตอุบล เป็นบัวสายชนิดหนึ่งที่บานในตอนกลางคืน ทั้งดอกสีแดงอมชมพูนั้นยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย การผลิบานของบัวแดงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ วันไหนแสงแดดน้อย อากาศเย็น บัวแดงจะบานอยู่นานถึงบ่ายแก่ๆ เลยทีเดียว

การชมทะเลบัวแดงครั้งนี้ เราเริ่มด้วยการเฝ้ารอพระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าอยู่ที่ริมฝั่งท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ก่อนลงเรือล่องหนองหานไปกว่า 7 กม. เพื่อสัมผัสบัวแดงอย่างใกล้ชิด ยิ่งไกลออกไป บัวแดงก็ยิ่งหนาแน่น บรรยากาศแสนสงบ อากาศแสนบริสุทธิ์ ณ ที่แห่งนี้ พาความอิ่มเอมและสุขใจมาสู่ทุกคนถ้วนทั่ว ขณะเครื่องยนต์ท้ายเรือกำลังทำงาน แผ่นน้ำสะเทือนเป็นระลอกคลื่น เหล่าแมลงที่เกาะอยู่ตามกอบัวต่างตกใจกระโดดหนีขึ้นเหนือผิวน้ำ ในระหว่างทางเรายังได้เห็นทั้งนกปากห่าง นกคู้ต นกอีโก้ง นกแซงแซว บินล้อเล่นกับสายลม ดูน่าเพลิดเพลิน...

เพราะรัก

เพราะรัก

ก็เพราะรักถึงได้รอ
ไม่เคยขอให้มากมาย
ก็เพราะรักสุดหัวใจ
นานแค่ ไหนก็จะรอ
กาลเวลาอาจเปลี่ยนผัน
ความสัมพันอาจเลือนหาย
ก็ไม่เคยทำ ให้ใจ
หวั่นไหวได้ตามเวลา
ก้เพราะรักผมถึงทน
ไม่เคยสนคนนินทา
ถึง แม้ใครจะด่าว่า
มันโง่ บ้า ผมก็ยอม
รักเธอมาก มากที่สุด
ไม่อาจ หยุดแล้วใจนี้
ขอเพียงเธอจงปราณี
ให้ใจนี้ได้เคียงกัน

กลอน วาเลนไทน์

ร ถ ไ ฟ ฟ้ า . . . ม า ห า แ ล้ ว น ะ เ ธ อ

วางโทรศัพท์ลง...
รอยยิ้มยังคงเปื้อนบนใบหน้า
ตา เป็นประกาย...หัวใจเต้นดังออกมา
...แต่จำไม่ได้...ตอบเธอไปว่า...ยัง ไง..

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ที่ เที่ยว จังหวัด อุดรธานี

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อยู่ ณ บริเวณเชิงเทือกเขาภูพานในเขตหมู่บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน
อำเภอบ้านผือ ห่างจากจังหวัดอุดรธานี 68 กม. ตามเส้นทางสายอุดรธานี – หนองคาย (ทางหลวงหมายเลข 2 )
ถึง กม.ที่ 13 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2021 ไปอำเภอบ้านผือ 42 กม. จากนั้นเลี้ยวขวาไปประมาณ 500 เมตร
แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 2348 อีกประมาณ 12 กม. จะถึงที่ตั้งอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ถนนเป็นทาง
ลาดยาวตลอดในบริเวณใกล้เคียงกันเป็นถ้ำ และอุทยานธรรมชาติที่แสดงถึงวิวัฒนาการของธรรมชาติ และอารยธรรม
ของมนุษย์บริเวณอุทยานประวิติศาสตร์ภูพระบาทสถานที่น่าสนใจซึ่งสามารถเดินชมได้ในระยะทางทั้งใกล้และไกล
ตามที่จะมีเวลา เช่น ถ้ำลายมือ ถ้ำโนนสาวเอ้ ถ้ำคน ถ้ำวัวแดง (ซึ่งถ้ำเหล่านี้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่พำนักของมนุษย์
สมันหินซึ่งได้เขียนรูปต่างๆ ไว้เช่น รูปคน รูปมือ รูปสัตว์ และรูปลายเลขาคณิต)
นอกจากนั้นยังมีลานหินที่สวยงามคือ หินโนนสาวเอ้ ซึ่งธรรมชาติได้สร้างเพิงหินต่างๆ ไว้ทำให้มนุษย์รุ่นหลังๆ
ได้จินตนาการผูกเป็นเรื่องตำนานพื้นบ้านคือเรือง “นางอุษา – ท้าวบารส” เพิงหินที่สวยงามเหล่านี้ได้แก่ คอกม้าท้าวบารส
หอนางอุษา บ่อน้ำนางอุษา นอกจากนั้นยังพบชิ้นส่วนหลักเสมาหินทราย จำหลักพระพุทธรูปศิลปะสมัยทวาราวดี ที่เพิงหิน
วัดพ่อตา และเพิงหินวัดลูกเขยปัจจุบันมีถนนลาดยางถึงที่ทำการ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทและบริเวณพระพุทธบาทบัวบก นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมแหล่งท่องเที่ยวโบราณคดีตามจุดต่างๆ ซึ่งมีทางเดินเชื่อมถึงกัน